วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

SEO: ศัพท์ SEO ที่ Blogger ควรรู้

คำศัพท์ SEO ที่ Bloger หรือคนทำเว็บไซต์ควรจะรู้จักไว้ อันนี้ผมไปดูของคนโน่นคนนี้ แล้วเอามาสรุปเอาไว้อ่านเอง แต่ใครอยากอ่านหรือเอาไปเก็บไว้ก็เชิญเลยครับ...



คำศัพท์ ความหมาย
Anchor Text หมายถึงข้อความที่เป็น Link เชื่อมโยง ซึ่ง Bot ของ Search Engine จะให้ความสำคัญกับข้อความชนิดนี้มากกว่าข้อความปกติ หรือถูกให้ความสำคัญกว่าลิงค์ปกติ
โค้ดที่ใช้สร้าง Anchor Text
ใส่ Keyword
และสิ่งที่ควรทำทุกครั้งคือเมื่อสร้างลิงค์เชื่อมโยงควรใช้ Anchor Text และใช้ Keyword ในการตั้งชื่อ Anchor Text ด้วย
Approve คือการรอการตรวจสอบ เช่นเรานำ Blog ไปสมัครกับ Blog directory ที่มีชื่อเสียง เราก็จะต้องรอให้มีการตรวจสอบว่าบล็อกของเรามีคุณภาพพอที่จะเข้าร่วมกับ Blog directory นั้น ๆ หรือไม่
Backlink คือการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่น ๆ มายังบล็อกหรือเว็บไซต์ของเรา ถ้ามี Backlink เข้ามามาก ๆ จะส่งผลต่อการ Index ยิ่งไปกว่านั้นถ้าได้ Backlink จากบล็อกหรือเว็บไซต์ ที่มี PR สูง จะทำให้ PR ของเราเพิ่มตามไปด้วย และอันดับจากการค้นหาก็จะใต่ขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ด้วย
การหา Backlink จากเว็บที่มี PR สูง เป็นเรื่องยากส่วนใหญ่จะต้องซื้อ เดือนละเท่าไหร่ ปีละเท่าไรก็แล้วแต่จะตกลง ส่วนสำหรับคนที่ไม่มีต้นทุนในการซื้อลิงค์ก็จะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ เพื่อให้ได้มาซึ่ง Backlink จำนวนมาก ซึ่งก็จะได้พูดถึงวิธีการกันในบทความต่อ ๆ ไป
Bot ย่อมาจาก Robot เป็นเหมือนผึ้งงานที่คอยมาเก็บข้อมูลต่าง ๆ บน โลก Internet ที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มปริมาณของข้อมูลขึ้น และที่สำคัญ Bot ของ Search Engine ชอบจะไปเยี่ยมบล็อก/เว็บไซต์ที่มีการ update บ่อย ๆ . Keyword : ในเรื่อง SEO หมายถึงคำสำคัญที่คนมักใช้ค้นหาจาก Search Engine เช่น คำว่า ผลฟุตบอล บอลโลก 2010 เป็นต้น
Density คำนี้มักใช้คู่กับเรื่อง Keyword ซึ่งหมายถึงความหนาแน่นของ Keyword ใน 1 หน้า หรือใน 1 บทความ เพื่อเพียงพอจะทำให้ Bot ของ Search Engine ตีความได้ว่า หน้านั้น ๆ หรือบทความนั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องใด
Dofollow
และ Nofollow
ต่อเนื่องจากคำว่า Backlink บางเว็บไซต์ที่เราไปสร้าง Backlink เอาไว้ หรือเว็บไซต์ที่ลิงค์มาหาเราบางเว็บไซต์จะป้องกันการเสียคะแนน PR โดยตั้งค่า Link เอาไว้เป็น Nofollow ซึ่งจะทำให้ Backlink ที่เราได้มาไม่ทำให้คะแนน PR ของเราเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ไม่ดีเพราะว่า ถึงจะไม่ได้คะแนน PR แต่ก็อาจจะเพิ่มจำนวนคนเข้าชมบล็อกของเราก็ได้
ส่วนความหมายของ Dofollow ก็จะตรงข้ามจาก Nofollow คือ เราจะได้ Backlink และได้คะแนน PR ด้วยครับ
De-Index
(Decrease Index)
เป็นการถูกลดความสำคัญของข้อมูลที่ได้ถูก Index ไปแล้ว อาจจะเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น Spam คำ เพิ่มจำนวนบทความมากผิดปกติ หรือการไม่ Update ของเนื้อหา หรือถูกลดอันดับจากคู่แข่งที่ทำอันดับขึ้นมาดีกว่า เป็นต้น
index คือการที่หน้าบล็อกหรือเว็บไซต์ของเราถูกนำไปจัดอันดับในผลของการค้นหา ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อันดับที่ดีที่สุดจากผลการค้นหาคือ อันดับ 1 ในหน้าแรกจากผลการค้นหาโดยใช้ Google.com (Google เป็น Search Engine ที่คนนิยมใช้มากที่สุดในโลก )
การตรวจสอบว่าบล็อก/เว็บไซต์ได้ถูก index แล้ว ? >> ให้พิมพ์
site:www.yourname.com
หรือ
site:ชื่อบล็อก.blogspot.com
ในช่องค้นหาใน Google ซึ่งถ้าพบแปลว่าถูก Index แล้ว
Link ในเรื่อง SEO คำว่า Link จะหมายถึงการเชื่อมโยงกันระหว่าง บล็อก/เว็บไซต์
Link Wheel เป็น Backlink ที่แข็งแกร่งมากชนิดหนึ่งที่เราสามารถกำหนดและสร้างเองได้ โดยลักษณะของลิงค์ชนิดนี้จะสร้างสะพานให้ Bot วิ่งลักษณะเป็นวงกลม และทุกจุดบนเส้นรอบวงก็จะส่ง Backlink มายังศูนย์กลางคือบล็อกที่เราต้องการได้ Backlink
Niche keyword หมายถึง Keyword ที่มีโอกาสสูงที่คนจะใช้ค้นหากับ Search Engine และมีคู่แข่ง (ปริมาณผลการค้นหา) ไม่มากนัก
Onpage
(Onpage SEO)
คือการปรับแต่งเว็บไซต์หรือบล็อกให้ SE เข้าถึงข้อมูลในหน้าต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด สามารถมองเห็นและเข้าใจได้ว่าบล็อกของคุณเกี่ยวกับเรื่องใด เด่นเรื่องใด และส่งผลต่อผลลัพธ์การค้นหาด้วย เช่น ชื่อโดเมน Title ของแต่ละหน้า ชื่อของบทความ ความหนาแน่นของ keyword ในเนื้อหาหรือบทความ Link เข้า-ออก ในแต่ละหน้า Meta tag หรือการไม่มี Link เสียในหน้านั้น ๆ เป็นต้น
Offpage หรือเรียกเต็ม ๆ ว่า Offpage SEO เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อ คะแนน PR และ อันดับในการ Index เช่น การสร้าง Backlink จำนวนคนเข้าเยี่ยมชม อายุของโดเมนเป็นต้น
Pageview คือจำนวนการเปิดหน้าในบล็อกหรือเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งถ้านำไปหารด้วยจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ก็จะบอกได้ว่าคนที่มาชมบล็อกของคุณ มีการเปิดชมบล็อกโดยเฉลี่ยกี่ครัง ถ้าเฉลี่ยแล้วไม่ถึง 1 แสดงว่าบล็อกหรือเว็บไซต์ของคุณไม่น่าสนใจเลย
การนับจำนวนคนเข้าชม Blogger อาจจะใช้ของบริการตัวนับฟรีเช่น Histat.com เป็นต้น
PR (Pagerank) คือคะแนนที่ Search Engine ต่าง ๆ จะให้กับบล็อกหรือเว็บไซต์ของเรา โดยค่า PR สูงสุดคือ 10 ต่ำสุดคือ 0 และกรณีที่บล็อกของคุณยังไม่ถูกจัดเก็บเข้าไปในฐานข้อมูลของ Search Engine คะแนน PR จะเป็น n/a
บล็อกหรือเว็บไซต์ที่มี PR สูง ๆ หมายความว่าเป็นบล็อกหรือเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นเว็บไซต์ที่มี เนื้อหามีคุณภาพไม่ซ้ำใคร ระบบเว็บไซต์มีเสถียรภาพสูง คนเข้าชมเยอะ มีคนใช้บริการมาก ๆ และมี Link (จากเว็บคุณภาพ)เข้ามาหาเป็นจำนวนมาก
แต่ ทั้งนี้ค่า PR ไม่ได้ส่งผลต่ออันดับการค้นหาจาก SE แต่อย่างใด เพราะผลการค้นหาจะเลือกจัดอันดับเว็บที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับความต้องการ ของผู้ค้นหามากที่สุด ดังนั้น บล็อก/เว็บไซต์ที่มี PR=0 ก็ติดอันดับการค้นหาเป็นที่ 1 ได้
Ping ในการทำ SEO เป็นการส่งสัญญาณการ Update ไปยัง Search Engine ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำเลย หรือถ้าจะทำก็ควรทำเมื่อบล็อกมีการ Update เพราะถ้าบ่อยไปจะถูกมองว่า Spam และถูก de-index ได้
Pligg เป็นพวกเดียวกับ Social Bookmark แต่สร้างจาก CMS (เว็บกึ่งสำเร็จรูป) ดังนั้นก็ใช้งานเหมือนกับ Social Bookmark และในปัจจุบันในไทยก็มีเว็บ Pligg เป็นจำนวนมาก
Sandbox (หลุมทราย) เป็นเหมือนสถานพินิจที่นำเอาบล็อกหรือเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมการเพิ่ม Index และ Backlink มากผิดปกติ จนเข้าข่ายน่าสงสัย บล็อกหรือเว็บไซต์จะถูกนำไปรอการตรวจสอบความผิดปกตินั้นเสียก่อน อาจใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 5-6 เดือนแล้วจึงปล่อยออกมาให้ Index เหมือนเดิม
ส่วนใหญ่คนที่ตก หลุมทราย(Sandbox) จะเป็นพวกเทพหรือเซียนเท่านั้น เพราะการเพิ่ม Index และ backlink ได้ปริมาณมาก ๆ ภายในเวลาสั้น ๆ (1-2 วัน) คนทั่วไปทำไม่ค่อยได้
วิธี ทำให้หลุดจากหลุมทรายก็ไม่ยาก เพียงแต่ต้องรอ และระหว่างรอ ต้องหยุดเพิ่มข้อมูลสักพัก Submit ได้เล็กน้อย ตามสมควร แต่ที่สำคัญคือให้หา Backlink จากเว็บ PR สูง ๆ จะช่วยให้หลุดจาก Sandbox ได้เร็วมากขึ้น ถ้ามีทุนหน่อยก็ซื้อลิงค์ครับ
SE ย่อมาจาก Search Engine คือเครื่องมือค้นหาข้อมูลบนโลก Internet (ในที่นี้เราจะพูดถึงบล็อกและเว็บไซต์)
SEO คำนี้ย่อมาจาก Search Engine Optimizer ซึ่งเป็นกระบวนการการทำให้บล็อก/เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบโดยเครื่องมือค้นหา บนโลก Internet ได้ง่ายขึ้น
Social Bookmark คือเว็บไซต์ที่เปิดให้สมาชิกเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ที่ชอบ และแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้ทราบ ส่วนใหญ่เราจะใช้ในการนำบทความ ไป Submit เพราว่า Social Bookmark จะมีผู้ใช้บริการมาก มีข้อมูลความเคลื่อนไหวแทบจะตลอดเวลา Bot ของ Search Engine จึงเข้าไปเก็บข้อมูลแทบจะตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อพบบทความที่เรานำไป Submit เอาไว้ Bot ก็จะวิ่งมาเก็บข้อมูลที่บล็อกเราอีกต่อหนึ่ง
ตัวอย่างของ Social Bookmark ที่รู้จักกันได้แก่ digg ,stumpble,delicious ,Mixx เป็นต้น
Social Media และ
Social Network
สังคมของคนออนไลน์ 2 ชนิดนี้สามารถใช้โปรโมทบล็อกของเราได้ เช่น Facebook , Twitter, Myspace หรือ Youtube เป็นต้น
Spam ในการทำ SEO หมายถึงพฤติกรรมที่ทำอะไรมากกว่าปกติเกินความจำเป็นและผิดธรรมชาติของระบบ เช่น เพิ่งทำบล็อกหรือเว็บไซต์ได้วันเดียวแต่มี backlink จำนวนมาก Index ในอันดับสูงผิดปกติ หรือมีการเพิ่มของปริมาณข้อมูลในบล็อกหรือเว็บไซต์ อย่างมหาศาลในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างนี้ก็จะถูก เอาไปเก็บไว้ในหลุมดำ(หลุมทราย)ของ Search Engine หรือถูกลดความสำคัญในที่สุด
Submit เหมือนการไปแจ้งเกิดบล็อกหรือเว็บไซต์ โดยเรานำข้อมูลของเราไปส่งให้แหล่งที่รับ Submit ข้อมูล เช่น Social Bookmark หรือเว็บ Pligg หรือ Web directory เป็นต้น
การ Submit มีหลายประเภท เช่น Submit Blog , Submit บทความ , Submit Feed , Submit Sitemap เป็นต้น
Tag คือคำสั้นๆ ที่มีใจความ หรือเรียกว่าเป็น Keyword ก็ได้ ถ้าในการเขียนบทความ หรือ นำบทความไป Submit ก็ควรจะใส่ tag ให้กับบทความนั้นมาก ๆ และควรใส่ tag ที่คนนิยมใช้ในการค้นหาด้วย มันจะทำให้ Index ดีขึ้นได้
Traffic เกี่ยวกับ SEO หมายถึง ปริมาณคนหรือรวมทั้งหุนยนต์ที่เข้าชมบล็อกของเรา ยิ่งมากก็ยิ่งดี ดังนั้น ถ้า Index ในอันดับที่ดี เช่นติดหน้า 1 ของ Google ใน Keyword ที่คนนิยม Traffic ก็ย่อมมากไปด้วย
UIP (Unique IP) คือ IP ที่ไม่ซ้ำกัน เป็นการนับจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์แบบตรวจสอบ IP ซึ่งการนับจากปริมาณ Unique IP จะแม่นยำ เพราะถ้าเราเข้าชมบล้อกตัวเองวันละ 100 ครั้งแล้วนับ 100 ครั้ง ก็คงจะสรุปอะไรไม่ได้
Web Directory
หรือ Blog Directory
คือสารบัญของเว็บไซต์หรือบล็อก ที่มีคนบางกลุ่มนิยมไปค้นหาเรื่องราวที่สนใจจากแหล่งสารบัญที่ว่านี้ ดังนั้นถ้าเราทำเว็บหรือบล็อก ก็ควรจะนำไป Submit ใน Web Directory หรือ Blog Directory เพื่อเพิ่มโอกาสให้ เว็บไซต์หรือบล็อก เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ตัวอย่างของ Web Directory หรือ Blog Directory ได้แก่ Dmoz , Blogcatalog เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

เปรียบเทียบ Bluetooth 3.0 VS 2.1 และเวอร์ชันต่างๆ

เปรียบเทียบ Bluetooth 3.0 VS 2.1
รายการเปรียบเทียบ 3.0+HS 2.1+EDR
ความเร็วในการสื่อสาร ได้สูงสุด 24 Mbps 3 Mbps
การใช้พลังงาน น้อยกว่าเวอร์ชัน 2.1 มากกว่าเวอร์ชัน 3.0


เปรียบเทียบ Bluetooth 2.1 VS 2.0
รายการเปรียบเทียบ 2.1+EDR 2.0+EDR
ความเร็วในการสื่อสาร 3 Mbps 2.1 Mbps
การเปลี่ยน encryption key ทุก 23.3 ชั่วโมง ทุกครั้งที่ถูก Refresh
ระบบความปลอดภัยที่ง่าย
(Secure simple pairing – SSP)
มี ไม่มี


เปรียบเทียบ Bluetooth 2.0 VS 1.2
รายการเปรียบเทียบ 2.0+EDR 1.2
ความเร็วในการสื่อสาร 2.1 Mbps (3 เท่า) 721 Kbps
การใช้พลังงาน น้อยกว่าเวอร์ชัน 1.2 มากกว่าเวอร์ชัน 2.0



 
คลิปทดสอบการส่งข้อมูลของ Bluetooth 3.0

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

Bluetooth: ความหมาย และการทำงานของ Bluetooth

Bluetooth คืออะไร
            บลูทูธ (Bluetooth) คือ ระบบการสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็กโทนิคแบบสองทาง ที่ใช้เทคนิคการส่งคลื่นวิทยุระยะสั้น (Short-Range Radio Links) เป็น สื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างอุปกรณ์ต่างชนิดกัน โดยปราศจากการใช้สายเคเบิ้ล หรือ สายสัญญาณเชื่อมต่อ และไม่จำเป็นต้องใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกับอินฟราเรด ซึ้งถือว่าเพิ่มความสะดวกมากกว่าการเชื่อมต่อแบบอินฟราเรด ที่เชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ กับอุปกรณ์ ในโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อนๆ โดยปัจจุบัน ระบบ บลูทูธได้เข้ามาช่วยทำให้การส่งถ่ายข้อมูลที่เป็นภาพ เสียง สะดวกยิ่งขึ้น
แสดงรูป Bluetooth Logo
 ระบบการทำงานของ Bluetooth

          Bluetooth จะใช้สัญญาณวิทยุความถี่สูง 2.4 GHz. แต่จะแยกย่อยออกไป ตามแต่ละประเทศ อย่างในแถบยุโรปและอเมริกา จะใช้ช่วง 2.400 ถึง 2.4835 GHz. แบ่งออกเป็น 79 ช่องสัญญาณ และจะใช้ช่องสัญญาณที่แบ่งนี้ เพื่อส่งข้อมูลสลับช่องไปมา 1,600 ครั้งต่อ 1 วินาที ส่วนที่ญี่ปุ่นจะใช้ความถี่ 2.402 ถึง 2.480 GHz. แบ่งออกเป็น 23 ช่อง ระยะทำการของ Bluetooth จะอยู่ที่ 5-10 เมตร โดยมีระบบป้องกันโดยใช้การป้อนรหัสก่อนการเชื่อมต่อ และ ป้องกันการดักสัญญาณระหว่างสื่อสาร โดยระบบจะสลับช่องสัญญาณไปมา จะมีความสามารถในการเลือกเปลี่ยนความถี่ที่ใช้ในการติดต่อเองอัตโนมัติ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเรียงตามหมายเลขช่อง ทำให้การดักฟังหรือลักลอบขโมยข้อมูลทำได้ยากขึ้น

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

SEO: Google Hack คำสั่งที่ใช้บ่อย

SEO ครับหรือชื่อเต็มว่า  Search Engine Optimization เนื่องจากตอนนี้กำลังฝึกทำ SEO อยู่ ก็เลยเขียนบทความไปด้วยเลย เพราะกลัวลืมเรื่องที่ไปศึกษามานั่นแหล่ะครับ ผมก็เลยศึกษาไปเขียนสรุปเรื่อง SEO ที่กำลังศึกษาไปด้วยแล้วก็คงจะเป็นแบบนี้ไปอีกหลายบทความนะครับ... เพราะเรื่องการทำ SEO นี้ ผมว่านะยิ่งศึกษาก็ยิ่งติดงอมแงม เพราะมันมีเทคนิคเยอะไปหมด ว่าแล้วก็มาเข้าเรื่องดีกว่า
บทความนี้ผมนำคำสั่งบางคำสั่งของ Google Hack ที่เห็นเค้าใช้กันประจำมาจัดพิมพ์เอาไว้ เพื่อเราจะได้เอาไว้ใช้เอง ส่วนท่านใดที่แว่ะมาอ่านเจอจะเอาไปใช้บ้างก็ได้นะครับ เพราะมันมีประโยชน์มาดูกันเลย

  •  คำสั่งนี้ เอาไว้ตรวจสอบว่า Google ได้เก็บ Index หน้าเว็บเราไปแล้วเท่าไหร่
    • site:com360.blogspot.com
  • คำสั่งนี้ เอาไว้ค้นหาเว็บของไทย ที่ให้เรา submit ชื่อเว็บเราได้ ใครที่ทำเว็บเนื้อหาไทยๆ product ไทยๆ ก็ควร submit ที่สารบัญเว็บไซต์ในไทย
    • inurl:submit +สารบัญเว็บไซต์
    • inurl:/register.php “Pligg ”
  • คำสั่งนี้ เอาไว้ตรวจสอบว่ามีเว็บไซต์อื่นๆ ทำลิงค์มาหาเราจำนวนกี่เว็บแล้ว แต่ตอนนี้ติดปัญหาว่า พอใช้ชื่อ Domain ของ blogspot.com กลับตรวจสอบไม่ได้ แต่ถ้าเป็นชื่อเว็บคนอื่นกับได้..งง..จริงๆ
    • link:com360.blogspot.com
  • คำสั่งนี้ เอาไว้ตรวจสอบว่า Google เก็บข้อมูลอะไรจากเว็บไซต์ของเราไปแล้วบ้าง
    • info:com360.blogspot.com
แค่นี้ก่อนแล้วกันเดี๋ยวไปศึกษาคำสั่งทำ SEO ใน Google Hack ต่อ แล้วจะมาเพิ่มคำสั่งใหม่...หุ..หุ..หุ...

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

Network Activity แบบ Windows XP ใน Windows 7

สำหรับคนที่ชอบดู Network Activity หรือ Network Status (รูปคอมพิวเตอร์สองตัว) ที่ System tray ซึ่งไอคอนนี้ ได้ถูกตัดออกไปใน Windows 7 แต่จริงๆ แล้ว Network Status รูปคอมพิวเตอร์ 2 ตัว มันมีประโยชน์มากกว่าหน้าตาปัจจุบันใน Windows 7 เสียอีก เพราะอย่างน้อยมันก็เอาไว้ช่วยสังเกตุเบื้องต้นให้เราได้ว่าเครื่องเราติดพวก Virus computer Worms Spyware  หรือยัง โดยการสังเกตุง่ายๆ ที่ Network Status แบบรูปคอมพิวเตอร์ 2 ตัวนี้ ถ้าพบว่ามีไฟกระพริบสีฟ้าสว่างตลอดเวลา โดยที่เราไม่ได้เล่น MSN หรือเข้าเว็บ หรือ Download โปรแกรมใดๆ แต่ไฟสีฟ้ามันกระพริบตลอดเวลาไม่หยุด ก็แสดงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราคงโดนของเข้าให้แล้ว อย่างน้อยก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสังเกตุได้ง่ายๆ หล่ะ (ว่าม่ะ)

เกริ่นนำตั้งยาวนาน มาพูดถึงวิธีแปลง Network Status ให้เป็นรูปคอมพิวเตอร์ 2 ตัวกันดีกว่า จริงๆ เราไม่เรียกว่าแปลงก็ได้ เพราะมันเป็นการเพิ่มซ่ะมากกว่า คือ หน้าตา Network status อันเก่าของ Windows 7 ก็ยังคงอยู่ แต่เราจะทำให้ Network status แบบคอมพิวเตอร์ 2 ตัว มันแสดงเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง วิธีการก็คือ ใช้โปรแกรมชือ Network Activity Indicator for Windows 7 เป็นโปรแกรมแจก Free สามารถ Download ได้ที่ http://www.itsamples.com/network-activity-indicator.html และถ้าใครต้องการใช้เป็นภาษาไทย ก็สามารถ Download ภาษาไทยที่หน้าเว็บดังกล่าวได้เลย เพราะเค้าทำไว้หลายภาษา ส่วนการติดตั้งก็แสนง่ายครับ คุณทำเองได้ไม่ยาก คราวนี้มาดูรูปประกอบของโปรแกรม Network Activity Indicator for Windows 7 กันบ้างดีกว่า

แสดงไอคอนโปรแกรมหลังการติดตั้งเสร็จแล้ว


เมื่อเรียกใช้โปรแกรม Network Activity Indicator ก็จะพบ Icon รูปคอมพิวเตอร์ 2 ตัวปรากฏแบบนี้

เมื่อคลิก mouse ขวาที่ icon นี้ จะปรากฏเมนูคำสั่งมาให้เลือกใช้งาน อันนี้ผมเลือกใช้ภาษาไทยครับ


เมื่อเลือกคำสั่ง "ตั้งค่า" จะพบหน้าต่างนี้ เราสามารถกำหนดค่าต่างๆ ตามที่เราต้องการได้สะดวก

สุดท้ายนี้ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนบ้างนะครับ...

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

สร้างรายได้ด้วย Ziddu.com (ซิดดู)

การทำงานกับเว็ป Upload File แล้วได้เงิน
หลักการ ก็คือ เราอัพโหลดไฟล์ (โปรแกรม,เกมส์,รูป,คลิป,เพลง) แล้วเอาลิงค์ดาวโหลดไฟล์ไปโพสต์ทิ้งไว้ตามเว็ปบอร์ดต่าง ๆ / จะส่งทางอีเมล์ / ผ่าน Face Book ฯลฯ เมื่อมีคนมาดาวน์โหลดไฟล์ของคุณ เราก็จะได้เงินเป็นค่าตอบแทน ยอดเงินก็จะขึ้นอัตโนมัตทุกวัน วัน ๆ นึงสามารถสร้างรายได้ได้อย่างไม่จำกัด ไม่เหมือนเว็ปคลิกที่มานั่งคลิกเป็นรายวัน ทำครั้งเดียวได้ผลในระยะยาว แม้ไม่อัพไฟล์ รายได้ก็ยังมีมาเรื่อย ๆ


ข้อดีของ Ziddu เมื่อเทียบกับ EasyShare.com
1. ไม่มีเวลานับถอยหลังในการดาวน์โหลดไฟล์ ดาวโหลดได้ทันทีเลย ใส่แต่รหัสป้องกันเหมือนทุกเว็บ และหน้าตาใช้งานด้วย ไม่หมกลิงค์ ซ่อนลิงค์

2. Ziddu ให้เราอัพโหลดไฟล์ได้ขนาดสูงสุดถึงไฟล์ละ 200 MB (204,800KB) แต่ easy share ให้เราอัพโหลดได้สูงสุดเพียงไฟล์ละ 100MB เท่านั้น

3.ในกรณีที่ไฟล์เป็นรูปภาพ คลิปวีดีโอ หรือ ไฟล์เพลง Ziddu ก็จะแสดงเป็นภาพตัวอย่างให้ดูในหน้าดาวน์โหลด และจะนับเป็น 1 download เมื่อมีผู้คลิกเข้าไปดูภาพใหญ่ กดเล่นคลิปวีดีโอ หรือ กดฟังเพลงด้วย (มันยอดมั๊ยล่ะ!)

4. Ziddu จะมีออพชั่นให้เราเลือกส่งลิ้งค์ของไฟล์ที่อัพโหลดไปทาง e-mail ได้ทันที แต่ easy share จะไม่มี

5. ไฟล์ที่อัพโหลดไว้กับ Ziddu จะถูกเก็บได้นานถึง 90 วันเมื่อไม่มีผู้ดาวน์โหลด แต่ easy share จะเก็บได้แค่เพียง 30 วัน เมื่อไม่มีผู้ดาวน์โหลด

6. การยื่นขอรับเงินค่าตอบแทนใน Ziddu จะสามารถทำได้ทันทีเมื่อทำยอดได้ถึงหรือมากกว่า $10 ซึ่งต่างกับ easy share ที่บังคับให้เราทำยอดดาวน์โหลดให้ถึง 15,000 ครั้งก่อน เพื่อยกระดับเป็น Premium Account จึงจะสามารถขอรับเงินค่าตอบแทนได้

ข้อเสียของ Ziddu เมื่อเทียบกับ easyshare
1. การนับจำนวนดาวน์โหลดไฟล์ จะนับจาก Unique Download (ผู้ดาวน์โหลดที่ไม่ซ้ำ IP Address ต่อวัน / ไฟล์) ซึ่งต่างกับ easy share ที่นับจำนวนผู้ดาวน์โหลดคนเดิมในวันเดียวกันด้วย (แน่นอนว่า เพื่อน ๆ สามารถดาวน์โหลดไฟล์ของตัวเอง เพื่อทำเงินให้ตัวเองได้ …แต่ระวังเมื่อยมือนะ)

2. เนื่องจากกฎการจ่ายเงิน ใหม่ของ Ziddu (ออก ณ วันที่ 24/12/50) ที่ให้เราต้องเสียเวลารอนานถึง 40 วันกว่า ที่จะได้รับรายได้ในแต่ละครั้ง (เช่น ยื่นขอค่าตอบแทนในเดือนมกราคม จะได้รับเงินในเดือนมีนาคม) ซึ่งข้อนี้จะเสียเปรียบ easy share ที่จะขอรับเงินได้ทุกวันที่ 15 ของเดือนครับ

อื่น ๆ เกี่ยวกับ Ziddu
1.อัพโหลดไฟล์ได้ไม่จำกัด จำนวน
2.รับค่าตอบแทน $10 เมื่อมีผู้ดาวน์โหลดไฟล์ครบ 10000 ครั้ง (เท่ากับ Easy Share)
3.จ่ายค่าตอบแทนผ่าน Paypal
4.จ่ายหลังจากยอดเงินเราครบ 10$ ประมาณ 40 วันทำการ
รายชื่อเว็บบอร์ดเพื่อนำลิงค์ของเราไป โพสต์ - > คลิกที่นี่

การใช้งาน deep freeze

DeepFreeze  เป็นโปรแกรมป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน  Hard disk จะเรียกว่า Protec Hard disk ก็ได้ หรือบางคนอาจจะเรียกว่า Recovery Hard disk ก็ไม่ผิด เพราะหลักการของโปรแกรม DeepFreeze นี้ คือ เมื่อ Restart Windows ข้อมูลและโปรแกรมทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งจะช่วยเราได้หลายเรื่อง โดยเฉพาะการป้องกันปัญหาการติด Virus Computer เพราะพวกโปรแกรม Anti Virus ทั้งหลายบอกกันตรงๆ มันไว้ใจได้ไม่ถึง 100 % แต่ถ้าติดตั้ง DeepFreeze เอาไว้ ถึงเครื่องเราจะโดน Virus Computer ตัวใหม่ล่าสุด เราเพียงแค่ Restart Computer ของเราเท่านั้น เครื่อง Computer ของเราก็ปลอดจากเจ้า Virus Computer ทันที

ส่วนที่จะพูดถึง DeepFreeze ในครั้งนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะพูดถึงการใช้งานเป็นหลัก เพราะผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่ใช้โปรแกรมนี้ แต่ก็ชอบหลงลืมวิธีการใช้งานบ่อยๆ เนื่องจากหลังติดตั้งโปรแกรมไปแล้ว เราแทบจะไม่ได้เข้ามาใช้งานโปรแกรม DeepFreeze บ่อยนัก ว่าแล้วก็เอาวิธีการใช้งานมาเขียนซ่ะเลย เอาไว้ให้ตัวเองอ่านด้วยจะได้ไม่ลืม .. ^_^

การเข้าโปรแกรมและการตั้งค่าการใช้งาน
  • กดปุ่ม Ctrl + Alt + Shift + F6 จะได้หน้าต่างดังนี้
  • จากนั้นใส่ password แล้วกดปุ่ม OK เพื่อเข้าสู้การตั้งค่าการใช้งานด้งรูปต่อไปนี้
  • ที่หน้าต่าง Status นี้ ตัวเลือกที่สำคัญคือบริเวณ Status on Next Boot โดยมีความหมายดังนี้
    • Boot Frozen  หมายถึง ทุกครั้งที่เปิดเครื่องใหม่ หรือ Restart Computer ให้โปรแกรมกลับมาเป็นเหมือนเดิม คำว่าเหมือนเดิมของผมก็คือ ข้อมูลครั้งล่าสุดที่เราได้สั่งให้โปรแกรมนี้มันจำเอาไว้นั้นเอง
    • Boot Thawed on Next ..... Restarts หมายถึง เมื่อ Boot เครื่องใหม่ หรือ Restart Computer ครั้งต่อไป  Drive  ที่เลือกไว้จะกลายเป็นสถานะ Boot Thawed  คือสามารถลงโปรแกรมต่างๆ ได้โดยไม่หายไป และมันจะอยู่ในสถานะ Boot Thawed ตามจำนวนครั้งที่ใส่เลขเอาไว้  เมื่อครบจำนวนครั้งแล้ว พอเรา  Boot เครื่องครั้งต่อไปหรือ Restart Computer มันก็จะเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็น Boot Frozen เหมือนเดิม
    • Boot Thawed หมายถึง สถานะที่เราสามารถติดตั้งโปรแกรมใหม่ได้  เก็บข้อมูลลง  Hard  disk  ได้ โดยจะไม่ถูกลบออกไปเมื่อปิดเครื่อง    แต่สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในขณะอยู่ในสถานะนี้ก็คือ อาจมีการติด Virus Computer หรือโปรแกรมที่เราไม่พึงประสงค์ได้ด้วยเช่นกัน  และเมื่อเราสั่งป้องกัน  Drive  พวก Virus Computer และโปรแกรมเหล่านี้ก็จะถูกป้องกันเข้าไว้ด้วย  ดังนั้นขณะที่อยู่ในสถานะนี้แนะนำว่าไม่ควรต่อ  Internet   หรือต่อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น  และไม่ควรนำ  Handy drive จากเครื่องอื่นมาเสียบต่อ    และเมื่อเสร็จงานแล้วควร  Scan ไวรัสก่อน แล้วจึงจะทำการป้องกัน Drive โดยกลับไปเลือกสถานะ Boot Frozen
สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากคำๆ หนึ่งเอาไว้นะครับว่า.."กันไว้ดีกว่าแก้  แย่แน่ๆ ถ้าแก้ไม่ทัน"

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

Virtualization Technology

Virtualization Technology
เป็นการนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ Server 1 เครื่องขึ้นไปมาจำลองเป็นคอมพิวเตอร์อื่น ๆ อีกได้หลาย ๆ เครื่อง ซึ่งแต่ละเครื่องที่จำลองออกมาก็จะมีความเป็นอิสระต่อกัน (เหมือนกับเราซื้อคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องมาใช้งานนั่นเอง) โดยจะมี Hypervisor หรือบางคนอาจจะเรียกว่า Virtual Machine Monitor (VMWare, XenServer, HyperV เป็นต้น) ที่คอยทำหน้าที่ควบคุม บริหารจัดการทรัพยากร ที่จะใช้งานร่วมกัน ทั้ง CPU, Memory, Harddisk รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ ทั้งหมด โดยทั่วไปเราจะเรียกเครื่องที่ติดตั้ง Hypervisor ไว้ว่า Host ส่วนระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งไว้บน Host ก็จะเรียกว่า Guest


ภาพแสดงความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีทั่วไป กับเทคโนโลยีเสมือน



Virtualization มีประโยชน์อะไรบ้าง

ประโยชน์ที่สำคัญของ Virtualization คือ การลดจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์ได้ พิจารณา จากหลายๆ เซิร์ฟเวอร์ขององค์กร ที่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จริงหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งเซอร์วิส ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริงนั้น เซิฟเวอร์แต่ละเครื่องยังไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรคอมพิวเตอร์ขององค์กรในการจัดซื้อและดูแลรักษา อย่างเปล่าประโยชน์

Virtualization
สามารถลดจำนวนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่จะต้องใช้ได้ โดยการรวมศูนย์การทำงานของระบบ (Server Consolidation) ด้วยการติดตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์แต่ละระบบขององค์กรด้วยเครื่องเสมือน (Virtual Machine) เครื่องหลักหนึ่งเครื่องจะสามารถบริการเครื่องเสมือนได้หลายเครื่อง เป็นการใช้ทรัพยากรระบบอย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกในการดูแลระบบทั้งด้วย

นอกจากนี้ Virtualization ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้อีกหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น

* การทำ Migration เพื่อย้ายการทำงานของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไปยังอีกเครื่องได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลด Downtime จากเวลาที่ใช้ในการติดตั้งใหม่ และแก้ปัญหาความไม่เข้ากันของฮาร์ดแวร์ได้

* ระบบ virtual desktop สำหรับพนักงานในองค์กร แทนที่เครื่องสำนักงานด้วย virtual machine อำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการดูแลข้อมูลขององค์กร

* ทดสอบแอพพลิเคชั่น ในหลายๆ สภาพแวดล้อมการทำงาน โดยใช้ Virtual Machine เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Linux


วีดีโอ Virtualization Technology





ที่มา: http://www.it-clever.com/

บทความที่ได้รับความนิยม